Friday, January 10, 2025

ทำไมซ่อมเกียร์อัตโนมัติถึงไม่จบ? เคลียร์ทุกข้อสงสัย

 สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่กำลังกังวลใจกับปัญหาเกียร์อัตโนมัติเสีย ผมขอเป็นส่วนหนึ่งในการไขข้อข้องใจให้ชัดเจนขึ้นนะครับ ปัญหา "ซ่อมเกียร์ไม่จบ" นั้นเป็นปัญหาที่พบเจอบ่อย และมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้บริโภคสับสนและไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี

ทำไมถึงซ่อมไม่จบ?

  • การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง: สาเหตุหลักมาจากการวินิจฉัยอาการเสียหายของเกียร์ที่ไม่แม่นยำ อาจเกิดจากอุปกรณ์ตรวจเช็คที่ไม่ทันสมัย หรือช่างเทคนิคขาดความรู้ความชำนาญ ทำให้ซ่อมส่วนที่ไม่จำเป็น หรือซ่อมไม่ตรงจุด จึงทำให้ปัญหาเดิมยังคงอยู่ หรือเกิดปัญหาใหม่ตามมา
  • อะไหล่ที่มีคุณภาพไม่ดี: การเลือกใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพต่ำ หรือเป็นของปลอม จะทำให้เกียร์ที่ซ่อมแล้วมีอายุการใช้งานสั้นลง และอาจเกิดปัญหาซ้ำได้อีก
  • ช่างเทคนิคขาดประสบการณ์: ช่างเทคนิคบางรายอาจขาดประสบการณ์ในการซ่อมเกียร์รุ่นใหม่ๆ หรือเกียร์ที่มีความซับซ้อน ทำให้การซ่อมไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
  • การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน: การสื่อสารระหว่างช่างเทคนิคกับลูกค้าที่ไม่ชัดเจน ทำให้ลูกค้าไม่เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา และขั้นตอนการซ่อม ทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน
  • ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล: ข้อมูลเกี่ยวกับการซ่อมเกียร์ในสื่อโซเชียลนั้นมีมากมาย แต่ไม่ใช่ทุกข้อมูลจะเป็นความจริงเสมอไป การนำข้อมูลเหล่านั้นมาตัดสินใจโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้

ซ่อมเกียร์ หรือ เปลี่ยนเกียร์มือสอง?

การตัดสินใจว่าจะซ่อมเกียร์ หรือเปลี่ยนเกียร์มือสองนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

  • สภาพของเกียร์: ถ้าเกียร์เสียหายเพียงเล็กน้อย การซ่อมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าเกียร์เสียหายหนัก การเปลี่ยนเกียร์อาจจะคุ้มค่ากว่า
  • อายุของรถ: ถ้ารถมีอายุมากแล้ว การเปลี่ยนเกียร์มือสองอาจเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่า
  • งบประมาณ: การซ่อมเกียร์มักจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเปลี่ยนเกียร์มือสอง แต่การซ่อมจะทำให้ได้เกียร์ที่สมบูรณ์แบบกว่า
  • ความน่าเชื่อถือของร้านซ่อม: การเลือกอู่ซ่อมที่มีความน่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการซ่อมไม่จบ

วิธีเลือกอู่ซ่อมเกียร์ที่น่าเชื่อถือ

  • สอบถามข้อมูลจากผู้เคยใช้บริการ: ข้อมูลจากปากต่อปากเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากที่สุด
  • ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการ: อู่ซ่อมที่ได้มาตรฐานจะมีใบอนุญาตประกอบกิจการ
  • สอบถามเกี่ยวกับอะไหล่ที่ใช้: อู่ซ่อมที่ดีจะใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพและมีการรับประกัน
  • ขอใบเสร็จรับเงินและใบรับประกัน: เพื่อเป็นหลักฐานในการเรียกร้องสิทธิ์ในภายหลัง

สรุป

ปัญหา "ซ่อมเกียร์ไม่จบ" เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเลือกอู่ซ่อม และควรปรึกษาช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • บันทึกอาการเสียของเกียร์: เพื่อให้ช่างเทคนิควินิจฉัยปัญหาได้อย่างถูกต้อง
  • ขอให้ช่างเทคนิคอธิบายขั้นตอนการซ่อม: เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาและวิธีการแก้ไข
  • ขอใบเสร็จรับเงินและใบรับประกัน: เพื่อเป็นหลักฐานในการเรียกร้องสิทธิ์ในภายหลัง

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของคุณนะครับ

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เลยครับ

#ซ่อมเกียร์ #เกียร์อัตโนมัติ #รถยนต์ #อู่ซ่อม

Thursday, January 9, 2025

ขั้นตอนการซ่อมเกียร์ Honda Civic FD 1.8

 ขั้นตอนการซ่อมเกียร์ Honda Civic FD 1.8 ในแบบที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ได้เลย , ถ้าอยากได้คุณภาพเหมือนเกียร์ลูกใหม่ที่เบิกจากศูนย์แต่ไม่ต้องการจะจ่ายราคาขนาดนั้น ก็โทรมาคุย เบอร์ 086-576-1712 ช่วงเวลา (7:00 a.m. - 9:00 p.m.) (ช่างปู)





ขับรถเกียร์ออโต้ยังไงให้ปัง! ฉบับคนมือใหม่

 สวัสดีเพื่อนๆ คนรักรถทุกคนครับ วันนี้เราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องการขับรถเกียร์ออโต้ให้ถูกวิธีกันนะครับ สำหรับใครที่เพิ่งหัดขับ หรือยังไม่ค่อยมั่นใจในการใช้เกียร์ออโต้ บทความนี้มีคำตอบให้แน่นอนครับ

ทำความรู้จักกับเกียร์ออโต้เบื้องต้น

รถเกียร์ออโต้เนี่ยดีตรงที่เราไม่ต้องมาคอยเปลี่ยนเกียร์เองให้ยุ่งยาก รถจะทำการเปลี่ยนเกียร์ให้เราเองโดยอัตโนมัติตามความเร็วและแรงบิดของเครื่องยนต์ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ควรจะรู้จักตำแหน่งของแต่ละเกียร์ เพื่อที่จะได้ใช้งานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยนะครับ

  • P (Parking): เกียร์จอด ใช้เมื่อจอดรถนิ่งสนิท
  • R (Reverse): เกียร์ถอยหลัง
  • N (Neutral): เกียร์ว่าง ใช้ตอนจอดรถสั้นๆ หรือลากรถ
  • D (Drive): เกียร์เดินหน้า ใช้สำหรับขับขี่ปกติ
  • L (Low): เกียร์ต่ำ ใช้สำหรับขับขึ้น-ลงทางชัน หรือลากจูง
  • S (Sport) หรือ B (Brake): เกียร์สำหรับการขับขี่แบบสปอร์ต หรือใช้ในการชะลอความเร็ว

เทคนิคการขับรถเกียร์ออโต้แบบง่ายๆ

  1. สตาร์ทเครื่องยนต์ในเกียร์ P: ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ทุกครั้ง ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเกียร์อยู่ในตำแหน่ง P (Parking)
  2. เหยียบเบรกก่อนสตาร์ท: ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรเหยียบเบรกไว้เพื่อป้องกันรถไหล
  3. ใช้เท้าขวาในการควบคุม: การขับรถเกียร์ออโต้ เราจะใช้เท้าขวาในการควบคุมคันเร่งและเบรกเพียงข้างเดียว
  4. อย่าลากเกียร์: การลากเกียร์ไปมาบ่อยๆ จะทำให้ระบบเกียร์สึกหรอเร็วขึ้น
  5. ขับด้วยความเร็วที่เหมาะสม: เลือกใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับสภาพถนนและสภาพอากาศ
  6. ใช้เกียร์ L เมื่อขึ้น-ลงทางชัน: สำหรับทางชันมากๆ ควรใช้เกียร์ L เพื่อช่วยเพิ่มความหนืดในการขับขี่
  7. จอดรถในเกียร์ P: เมื่อจอดรถเสร็จแล้ว ควรเข้าเกียร์ P และดึงเบรกมือ

สิ่งที่ควรระวังเมื่อขับรถเกียร์ออโต้

  • อย่าปล่อยเกียร์ว่างลงทางลาด: การปล่อยเกียร์ว่างลงทางลาดอาจทำให้รถเสียการควบคุมได้
  • อย่าเหยียบคันเร่งและเบรกพร้อมกัน: การทำเช่นนี้อาจทำให้ระบบเกียร์เสียหายได้
  • เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่กำหนด: การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เป็นประจำจะช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบเกียร์

สรุป

การขับรถเกียร์ออโต้นั้นไม่ยากอย่างที่คิดเลยครับ เพียงแค่เราเข้าใจหลักการพื้นฐานและปฏิบัติตามคำแนะนำ ก็สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจแล้วครับ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เลยนะครับ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ ขับรถปลอดภัยนะครับ!

Monday, October 28, 2024

ทำไมทางร้านไม่แจ้งราคาค่าซ่อมเกียร์ในหน้าเว็บไซต์หรือในหน้าเพจ..?

 เรื่องที่ 1 คือถ้าแจ้งราคาไว้ ณ ตอนนี้ บางคนมาเปิดคลิปนี้อีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งราคาอะไหล่มันก็ไม่เท่าเดิมแล้ว

เรื่องที่ 2 ถ้าช่วงนั้นอะไหล่ขาดตลาดกว่าของจะเข้าอีก 2-3 เดือน แต่ลูกค้าต้องการจะใช้เกรดพรีเมี่ยม ก็ต้องสั่งเข้ามาทางเครื่องบิน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าปกติ เมื่อเทียบกับมีอะไหล่สต๊อกอยู่ในประเทศไทย

เรื่องที่ 3 ถ้าแจ้งราคาลูกค้า แล้วรถลูกค้าขึ้นรถสไลด์มา รื้อเกียร์ออกมา อะไหล่ข้างในเกียร์เสียหายเยอะ หรือเสื้อเกียร์แตก ราคาก็จะไม่เท่ากับราคาที่แจ้งไป ลูกค้าอาจจะบอกว่าทางร้านหลอกให้เข้ามาก่อน แล้วค่อยเชือด 


เรื่องที่ 4 ถ้าแจ้งราคาไปแต่ไม่ตรงกับรุ่นรถ เช่น รถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ปีเดียวกัน แต่เป็นคนละเครื่องยนต์ เครื่องเบนซิน หรือเครื่องดีเซล มีเทอร์โบ หรือไม่มีเทอร์โบ ,บางครั้งเกียร์ก็เป็นคนละรุ่น ซึ่งราคาค่าซ่อมและค่าอะไหล่ก็ไม่เท่ากันอีก 


เรื่องที่ 5 ลูกค้าไปเปลี่ยนเครื่องพร้อมเกียร์ซึ่งไม่ใช่อยู่ในรถรุ่นนั้นๆ ราคาค่าแรงและค่าอะไหล่ก็ไม่เท่ากันอีก 


              ผมพยายามทำทุกอย่างให้เคลียร์และชัดเจนจะได้ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันทีหลัง ก็เลยต้องให้ลูกค้าโทรมาสอบถามและคุยรายละเอียด ซึ่งผมว่ายกหูโทรศัพท์คุยมันสะดวกและรวดเร็วกว่าที่จะต้องมานั่งพิมพ์ตอบ ครับผม 


Tuesday, September 26, 2023

เรื่องเรื่องสำคัญหลังจาก overhual เกียร์

        หลังหลังจาก  Overhaul เกียร์เสร็จ เรื่องสำคัญอันดับต้นๆ คือการระบายความร้อนของน้ำมันเกียร์ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการระบายความร้อนของน้ำมันเกียร์คือหม้อน้ำ หรือในบางรุ่นจะเป็น cooler/warmer



อายุการใช้งานของหม้อน้ำรถยนต์สามารถแปรผันไปตามหลายปัจจัย รวมถึงคุณภาพของหม้อน้ำ ประเภทของน้ำหม้อน้ำที่ใช้ สภาวะการขับขี่ และการดูแลรักษา โดยเฉลี่ยหม้อน้ำที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีสามารถใช้งานได้ระยะเวลาตั้งแต่ 8 ถึง 15 ปีหรือมากกว่า ต่อการดูแลรักษาที่เหมาะสม ต่อไปนี้คือปัจจัยที่สามารถมีผลต่ออายุการใช้งานของหม้อน้ำรถยนต์:

  1. 1 คุณภาพ: หม้อน้ำมีคุณภาพที่แตกต่างกัน และหม้อน้ำที่ผลิตด้วยวัสดุและกระบวนการผลิตที่ดีกว่ามักจะใช้งานได้นานกว่า
  2. 2 น้ำหม้อน้ำ: การใช้น้ำหม้อน้ำชนิดที่ถูกต้องและการรักษาสัดส่วนน้ำหม้อน้ำถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ น้ำหม้อน้ำช่วยป้องกันการกัดกร่อนและการร้อนเกินไป

  3. 3 สภาวะการขับขี่: ความร้อนหรือความเย็นขั้นสุด และการขับขี่ในสภาวะจราจรที่ต้องหยุดเร่ง-เบรคบ่อย ๆ สามารถสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมให้กับหม้อน้ำและส่งผลกระทบต่ออายุการใช้งาน

  4. 4 การดูแลรักษา: การดูแลรักษาเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงการรดน้ำหม้อน้ำและการเปลี่ยนน้ำหม้อน้ำตามคำแนะนำของผู้ผลิต และการตรวจสอบรอยรั่วหรือความเสียหาย

  5. 5 พฤติกรรมการขับขี่: การขับขี่อย่างรุนแรงหรือการลากระหว่างขับขี่อย่างบ่อย ๆ สามารถเพิ่มแรงกดดันให้กับหม้อน้ำ

  6. 6 ปัจจัยสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสกับเกลือบนถนน ขยะ และปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ สามารถสร้างสภาวะกัดกร่อนและความเสียหาย

  7. 7 คุณภาพของงานซ่อม: หากหม้อน้ำเคยถูกซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอะไรก็ตาม คุณภาพของงานซ่อมและชิ้นส่วนที่ใช้สามารถมีผลต่ออายุการใช้งาน

  8. 8 ผู้ผลิตและรุ่น: บางรถมาพร้อมกับหม้อน้ำที่มีความทนทานหรือสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่ารถอื่น ๆ

Thursday, March 21, 2019

ถ่ายน้ำมันเกียร์แบบขันน็อตตัวเดียว VS ถ่ายแบบเปิดอ่าง

ปริมาณน้ำมันเกียร์ที่ค้างอยู่ในอ่างเกียร์ !!!


ถ้าเราใช้การถ่ายแบบขันน๊อตเบอร์ 19 ออก และขันน็อตหกเหลี่ยมซึ่งเป็นท่อเช็คระดับน้ำมันเกียร์ ,น้ำมันเกียร์ก็จะค้างอยู่ในอ่าง 1.5 ลิตร ก็เท่ากับว่าถ่ายออกมาได้แค่ 2.5 ลิตร เท่านั้น ,ซึ่งการถ่ายแบบเปิดอ่างน้ำมันจะออกมา 4 ลิตร , ส่วนรุ่นที่มีก้านวัดระดับน้ำมันเกียร์ น้ำมันที่ค้างอยู่ในอ่างก็จะน้อยกว่า 1.5 ลิตร



รูปนี้เป็นอ่างน้ำมันเกียร์ของ Nissan March ซึ่งใช้การวัดแบบการเติมล้น



ส่วนรูปนี้เป็นรุ่นที่มีก้านวัดระดับน้ำมันเกียร์ ,ซึ่งดูได้จากระดับน็อตถ่ายต่ำกว่าขอบอ่าง ไม่เหมือนกับรุ่นที่มีก้านวัดล้นซึ่งเท่ากับขอบอ่างพอดี ,, แล้วทำไมเขาไม่ทำให้มันเรียบติดก้นอ่างไปเลยจะได้ถ่ายน้ำมันออกได้หมด , น่าจะเป็นเพราะถ้าข้างในเรียบ ข้างนอกที่เป็นหัวน็อตก็ต้องนูน ,ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นกรณีที่เรารถตกหลุมหรือท้องอ่างครูดกับถนนหัวน็อตจะโดนขูดและทำให้น็อตหลุดหรือน๊อตขาดได้เลย ,คราวนี้ละก็งานงอกไม่ใช่น้อย , เขาก็เลยต้องออกแบบอย่างนั้นเพื่อให้หัวน๊อตหลบต่ำกว่าพื้นอ่างตามรูป ,ถ้าอ่างครูดกับถนนก็ไม่โดนหัวน๊อตโอกาสที่น็อตหลุดหรือน๊อตขาดก็แทบจะไม่มี , ส่วนรุ่นที่อ่างเรียบและไม่มีน๊อตก็มีอยู่ในเกียร์ Ford บางรุ่นและอยู่ในเกียร์ของ GM บางรุ่น เท่าที่เคยเจอนะครับ เวลาเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ก็ต้องเปิดอ่าง อาจจะเป็นวิธีการบังคับกลายๆว่าถ้าเปิดอ่างก็เปลี่ยนกรองซะเลยหรือเปล่า ? ดังรูปด้านล่างที่หลบมุมหัวน็อต

ข้อต่อมาคือถ้าเราไม่เปิดอ่างเราก็ไม่สามารถเช็ดเศษผงโลหะต่างๆที่เกาะอยู่ที่แม่เหล็กออกไปได้ , และเราไม่สามารถล้างหรือเปลี่ยนกรองน้ำมันเกียร์ได้ ,เหตุผลอันดับต้นๆที่ทำให้เกียร์พัง ก็เนื่องจากการไหลเวียนของน้ำมันเกียร์ไม่สะดวกเนื่องจากกรองตัน,ทำให้แรงดันในระบบและการหล่อลื่น รวมถึงการระบายความร้อนของชิ้นส่วนต่างๆมีปัญหา อันนำไปสู่ปัญหาของเกียร์พังในที่สุด


ซึ่งการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์และกรองน้ำมันเกียร์ก็ควรจะเลือกใช้ของแท้เท่านั้น ,ดังรูปด้านล่าง


การวัดระดับน้ำมันเกียร์ให้ถูกต้องก็ควรจะเป็นไปตามคู่มือ, ไม่ควรยึดว่าถ่ายออกมาเท่าไหร่แล้วเติมกลับเข้าไปเข้าไปเท่านั้น ,ถ้าก่อนหน้านี้น้ำมันขาดอยู่แล้วเราจะเติมน้ำมันใหม่กลับเข้าไปแบบขาดๆก็ไม่ถูกต้อง ,หรือก่อนหน้านี้เติมมาจากที่ไหนแบบเกินๆแล้วเราจะใส่น้ำมันใหม่กลับแบบเกินๆแบบนี้ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน ,จุดเล็กๆน้อยๆหรือข้อสังเกตหรือความเข้าใจของแต่ละอู่ก็จะไม่เหมือนกัน ,ในการตัดสินใจเข้าไปใช้บริการจากอู่ไหนก็ควรจะศึกษาและทำความเข้าใจ รวมถึงโทรไปสอบถามกันก่อนจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องและรถที่ท่านรักจะได้ไม่เกิดความเสียหาย


Saturday, August 5, 2017

ตัวอุปกรณ์ Cooler/Warmer CVT Transmission

ตัวระบายความร้อนและอุ่นน้ำมันเกียร์


     อุปกรณ์ตัวนี้ถ้าอยู่ในรถที่อยู่ในประเทศเขตร้อนจะทำหน้าที่ระบายความร้อนของน้ำมันเกียร์ให้ลงมาเท่ากับน้ำในหม้อน้ำ ,ถ้าอยู่ในรถที่อยู่ในประเทศที่อากาศหนาวถึงขั้นติดลบมันก็จะช่วยเพิ่มอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์ให้มาเท่ากับน้ำในหม้อน้ำ ,ซึ่งบ้านเราอยู่เมืองร้อนจะเติมน้ำประปาหรือ coolant เพื่อเพิ่มอุณหภูมิจุดเดือดอันนั้นก็แล้วแต่ ,แต่ในประเทศหนาวที่อุณหภูมิติดลบไม่สามารถเติมน้ำเปล่าหรือน้ำประปาได้ต้องเติม coolant ที่เขาใส่สาร  Antifreeze ไม่ให้มีการแข็งตัวที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0 องศาส่วนว่าจะแข็งตัวที่อุณหภูมิเท่าไหร่อันนี้ก็แล้วแต่ยี่ห้อ, ต้องดูที่ฉลากข้างขวด coolant นั้นๆแต่บ้านเราก็ไม่มีโอกาสได้เป็นอย่างนั้นก็ใช้ Coolant แบบเมืองร้อนหรือน้ำประปาก็ได้ถ้าไม่แคร์ว่าจะเกิดสนิมหรือตะกรันใน Cooler and warmer



        ที่นี้เราจะดูแลรักษาให้มันอยู่กับเราไปนานๆไม่รั่วไม่แตกไม่ซึมไม่มีปัญหาได้ยังไง ,
  1. ไม่กระทบกระแทก ไม่ชน ไม่เกิดความเสียหายภายนอก
  2. เติม coolant ทุกครั้งแทนน้ำประปาเพื่อป้องกันการเกิดสนิมและตะกรัน ,อย่าลืมว่าจะมีชิ้นส่วนบางอย่างที่เป็นเหล็กอยู่ในระบบหล่อเย็น ,ถ้าเกิดสนิมและตะกรันขึ้นแล้วเศษเหล็กหรือตะกรันเหล่านั้นหลุดและไหลวนอยู่ในระบบหล่อเย็น มันจะไปขวางทางเดินของน้ำในหม้อน้ำ หรือขวางทางเดินของน้ำใน Cooler and warmer หรือเปล่า ซึ่งเป็นไปได้มากว่ามันจะไปขวางทาง และจะทำให้แรงดันในจุดที่มันไปขวางเพิ่มขึ้น อาจจะทำให้เกิดการแตกร้าวฉีกขาด และนั่นก็จะทำให้น้ำและน้ำมันผสมกันแล้วน้ำมันกับน้ำที่ผสมกันมันก็จะเข้าไปอยู่ในเกียร์ก็จะทำลายชิ้นส่วนที่เป็น Fiction material หรือพวกแผ่นคลัชต่างๆทั้งในตัว เกียร์เองและใน Torque converter
  3. เปลี่ยนกรองเกียร์สม่ำเสมอตามรอบของมัน และเช็ดเศษผงเหล็กต่างๆที่เกาะอยู่ที่แม่เหล็กก้นอ่างเกียร์ ,เพื่อให้มั่นใจว่าถ้ามีเศษเหล็กมีหรือเศษผงโลหะต่างๆหล่นลงมามันจะมีพื้นที่ให้เกาะไม่ไปวนอยู่ในระบบหรือว่าวนไปติดอยู่ที่ Cooler and warmer

จะเห็นได้ว่าตัว Cooler and warmer ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างของเหลวซึ่งมีอุณหภูมิต่างกันนั่นคือน้ำมันเกียร์ที่มีอุณหภูมิน่าจะประมาณ 100 กว่าองศาเซลเซียสและน้ำอุณหภูมิอยู่ประมาณ 80 กว่าถึง 90 องศาเซลเซียส จากคุณสมบัติของของเหลวมันจะพยายามทำให้อุณหภูมิของทั้ง 2 อย่างเท่ากัน ,ค่าดังกล่าวก็อาจจะอยู่ประมาณ 90 กว่าองศาเซลเซียส

     ซึ่งวิธีการลดอุณหภูมิในหม้อน้ำลง วิศวกรก็ได้ออกแบบเอาหม้อน้ำมาวางไว้ด้านหน้า และมีครีบระบายความร้อนเพื่อให้ลมผ่านได้สะดวกและไห้เอาความร้อนออกไปจากน้ำในหม้อน้ำ ,ดังนั้นผมจึงแนะนำว่าในการล้างรถทุกครั้ง ให้ฉีดรังผึ้งของหม้อน้ำเพื่อเอาคราบสิ่งสกปรกหรือฝุ่นหรือดินที่ติดอยู่ที่รังผึ้งของหม้อน้ำออกไปด้วย ลมที่เข้ามาปะทะมันจะได้ทะลุผ่านไปได้และนำความร้อนออกไปได้อย่างดี